สารบัญ
เปิดร้านขายของต้องเสียภาษีไหม - ภาพรวม
คำถามที่ว่า "เปิดร้านขายของต้องเสียภาษีไหม" เป็นคำถามแรกที่ผู้ประกอบการใหม่มักจะสงสัย เมื่อตัดสินใจเปิดร้านขายของหรือร้านขายของชำ ความจริงแล้ว การเปิดร้านขายของในประเทศไทยต้องเสียภาษีและมีภาระผูกพันทางกฎหมายหลายประการ ที่ผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
ข้อมูลสำคัญ
ตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ พ.ศ. 2481 และที่แก้ไขเพิ่มเติม บุคคลที่มีรายได้จากการประกอบธุรกิจ รวมถึงร้านขายของ มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ และเสียภาษีตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
การเปิดร้านขายของไม่ใช่เพียงแค่การหารายได้เสริม แต่เป็นการประกอบธุรกิจที่มีกฎระเบียบและข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจดทะเบียนธุรกิจ การทำบัญชี การเสียภาษี และการปฏิบัติตามกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

ในปี 2568 นี้ กรมสรรพากรได้เพิ่มการตรวจสอบและติดตามการชำระภาษีของผู้ประกอบการรายย่อยมากขึ้น โดยเฉพาะร้านขายของและร้านค้าปลีกต่างๆ เพื่อให้มีความเป็นธรรมในระบบภาษีและเพิ่มรายได้ของรัฐ
การจดทะเบียนธุรกิจร้านขายของ
ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องภาษี สิ่งแรกที่ผู้ที่ต้องการ เปิดร้านขายของ ต้องทำคือการจดทะเบียนธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมาย การจดทะเบียนนี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่เชื่อมโยงไปยังภาระผูกพันด้านภาษีและการบัญชี
ประเภทการจดทะเบียนธุรกิจ
1. การจดทะเบียนพาณิชย์
- สำหรับบุคคลธรรมดาที่ประกอบธุรกิจค้าขาย
- ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 500,000 บาท
- จดทะเบียนที่สำนักงานเขต/อำเภอ
- ค่าธรรมเนียม 50-100 บาท
2. การจดทะเบียนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน
- สำหรับธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
- จดทะเบียนที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
- มีการแยกบุคคลิกภาพทางกฎหมาย
- ค่าธรรมเนียมและเงินทุนจดทะเบียนสูงกว่า

เอกสารที่ต้องใช้ในการจดทะเบียน
- บัตรประจำตัวประชาชน (และสำเนา)
- ทะเบียนบ้าน (และสำเนา)
- หนังสือยินยอมให้ใช้สถานที่ (ถ้าเช่า)
- แผนที่แสดงที่ตั้งสถานประกอบการ
- รูปถ่าย 1 นิ้ว จำนวน 2 รูป
⚠️ ข้อควรระวัง
การไม่จดทะเบียนธุรกิจตามกฎหมาย อาจมีผลกระทบต่อการเสียภาษีและการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ นอกจากนี้ยังอาจต้องเสียค่าปรับตามที่กฎหมายกำหนด
ต้องการคำปรึกษาเรื่องการจดทะเบียนธุรกิจ?
ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของ MoAccount พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยดำเนินการจดทะเบียนธุรกิจให้คุณอย่างถูกต้องครบถ้วน
ภาระผูกพันด้านภาษีที่ต้องรู้
เมื่อเปิดร้านขายของแล้ว ผู้ประกอบการจะมีภาระผูกพันด้านภาษีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับรูปแบบการประกอบธุรกิจและรายได้ที่ได้รับ การทำความเข้าใจเรื่องภาษีที่ต้องเสียจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างถูกต้องและไร้ปัญหา
ประเภทภาษีที่เกี่ยวข้องกับร้านขายของ
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- อัตราภาษี: 5% - 35% ขึ้นอยู่กับรายได้สุทธิ
- ยื่นแบบ: ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91
- กำหนดยื่น: ภายในวันที่ 31 มีนาคม ของปีถัดไป
- รายได้ขั้นต่ำ: เสียภาษีเมื่อรายได้เกิน 150,000 บาทต่อปี
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
- อัตราภาษี: 7% ของมูลค่าสินค้าหรือบริการ
- เงื่อนไข: รายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
- ยื่นแบบ: รายเดือน (ภพ.30) หรือรายไตรมาส
- ประโยชน์: สามารถหักภาษีซื้อได้

การคำนวณภาษีสำหรับร้านขายของ
การคำนวณภาษีสำหรับ เปิดร้านขายของชํา ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง จะขึ้นอยู่กับประเภทการจดทะเบียนและรายได้ของธุรกิจ ดังนี้:
สำหรับผู้ที่จดทะเบียนพาณิชย์
รายได้สุทธิ = รายได้รวม - ค่าใช้จ่ายที่จำเป็น
- ต้นทุนสินค้า (ซื้อมาขายไป)
- ค่าเช่าร้าน
- ค่าไฟฟ้า น้ำประปา
- เงินเดือนพนักงาน
- ค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวกับธุรกิจ
💡 เคล็ดลับการลดภาษี
การเก็บเอกสารหลักฐานการซื้อขายและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ครบถ้วน จะช่วยลดภาระภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ข้อกำหนดการทำบัญชี
หลายคนที่เปิดร้านขายของมักมีความเข้าใจผิดว่า ร้านเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องทำบัญชี แต่ความจริงแล้ว การทำบัญชีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ เพราะนอกจากจะช่วยในการจัดการเงินแล้ว ยังเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายอีกด้วย
ประเภทการทำบัญชีสำหรับร้านขายของ
1. บัญชีรายรับรายจ่าย (สำหรับรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท)
- บันทึกรายรับทุกรายการ
- บันทึกรายจ่ายที่เกี่ยวกับธุรกิจ
- เก็บเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วน
- สรุปยอดรายเดือนและรายปี
2. บัญชีชุดเต็ม (สำหรับรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท)
- สมุดรายวันทั่วไป
- สมุดบัญชีแยกประเภท
- งบทดลอง
- งบการเงิน (งบกำไรขาดทุน, งบดุล)

เอกสารที่ต้องเก็บไว้
สำหรับผู้ที่ เปิดร้านค้า ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง และต้องทำบัญชี จำเป็นต้องเก็บเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้:
- ใบเสร็จรับเงิน: ทุกการขายสินค้า
- ใบกำกับภาษี: สำหรับผู้จดทะเบียน VAT
- ใบเสร็จค่าใช้จ่าย: ค่าเช่า ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าโทรศัพท์
- ใบเสร็จซื้อสินค้า: จากผู้จำหน่ายหรือซัพพลายเออร์
- สลิปโอนเงิน: ธุรกรรมผ่านธนาคาร
- สัญญาเช่า: ถ้าเช่าสถานที่
⚠️ ระยะเวลาการเก็บเอกสาร
ตามกฎหมาย ต้องเก็บเอกสารและบัญชีไว้เป็นระยะเวลา 5 ปี นับจากวันสิ้นปีภาษีนั้น เพื่อป้องกันปัญหาการตรวจสอบจากกรมสรรพากร
การใช้โปรแกรมบัญชีสำหรับร้านขายของ
ในยุคดิจิทัลนี้ การทำบัญชีด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือแอปพลิเคชันเป็นทางเลือกที่ดี เพราะช่วยลดข้อผิดพลาด ประหยัดเวลา และสะดวกในการสรุปรายงาน
ประโยชน์ของการใช้โปรแกรมบัญชี
- บันทึกรายการได้รวดเร็วและแม่นยำ
- สร้างรายงานทางการเงินอัตโนมัติ
- คำนวณภาษีได้ถูกต้อง
- เก็บข้อมูลปลอดภัยในระบบคลาวด์
- เข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา
ต้องการระบบบัญชีที่ใช้ง่ายสำหรับร้านขายของ?
MoAccount มีระบบบัญชีออนไลน์ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ประกอบการรายย่อยโดยเฉพาะ ใช้งานง่าย ครบครันทุกฟีเจอร์
การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการร้านขายของต้องพิจารณา เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้นและมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด การจดทะเบียน VAT มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
เกณฑ์การจดทะเบียน VAT
เงื่อนไขบังคับ
- รายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี: ต้องจดทะเบียน VAT ภายใน 30 วัน
- ขายสินค้านำเข้า: ต้องจดทะเบียนไม่ว่ารายได้จะเท่าไหร่
- ขายให้กับผู้ประกอบการ VAT: ควรพิจารณาจดทะเบียนเพื่อความสะดวก

ประโยชน์ของการจดทะเบียน VAT
- หักภาษีซื้อได้: ลดต้นทุนจากการซื้อสินค้ามา
- ความน่าเชื่อถือ: ลูกค้าธุรกิจมั่นใจมากขึ้น
- การออกใบกำกับภาษี: สามารถออกได้อย่างถูกต้อง
- การค้าระหว่างประเทศ: สะดวกในการนำเข้าส่งออก
ข้อเสียของการจดทะเบียน VAT
- ภาระงานเพิ่มขึ้น: ต้องยื่นแบบ VAT ทุกเดือน
- ราคาสินค้าแพงขึ้น: ต้องเพิ่ม VAT 7%
- การทำบัญชีซับซ้อน: ต้องแยกบัญชี VAT ชัดเจน
- การตรวจสอบ: อาจถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากรบ่อยขึ้น
💡 คำแนะนำ
หากรายได้ใกล้เคียง 1.8 ล้านบาท ควรเตรียมความพร้อมสำหรับการจดทะเบียน VAT ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเมื่อถึงเวลา
ภาษีเงินได้สำหรับร้านขายของ
ภาษีเงินได้เป็นภาษีหลักที่ผู้ประกอบการร้านขายของต้องเสีย การคำนวณภาษีเงินได้จะขึ้นอยู่กับกำไรสุทธิของธุรกิจ ซึ่งเป็นรายได้รวมหักลบด้วยค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและสมเหตุสมผล
อัตราภาษีเงินได้ปี 2568
สำหรับบุคคลธรรมดา
- 0 - 150,000 บาท: ไม่เสียภาษี
- 150,001 - 300,000 บาท: 5%
- 300,001 - 500,000 บาท: 10%
- 500,001 - 750,000 บาท: 15%
- 750,001 - 1,000,000 บาท: 20%
- 1,000,001 - 2,000,000 บาท: 25%
- 2,000,001 - 5,000,000 บาท: 30%
- เกิน 5,000,000 บาท: 35%

การลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ประกอบการ
ผู้ประกอบการร้านขายของสามารถลดหย่อนภาษีได้หลายรายการ ซึ่งจะช่วยลดภาระภาษีที่ต้องเสีย:
ค่าลดหย่อนส่วนตัว
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส: 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนบุตร: คนละ 30,000 บาท (สูงสุด 3 คน)
- ค่าลดหย่อนบิดามารดา: คนละ 30,000 บาท
ค่าใช้จ่ายที่ลดหย่อนได้
- เบี้ยประกันชีวิต: สูงสุด 100,000 บาท
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ: สูงสุด 500,000 บาท
- กองทุน SSF: สูงสุด 200,000 บาท
- ค่าบริจาค: สูงสุด 10% ของรายได้สุทธิ
การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้
ผู้ประกอบการร้านขายของต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ตามประเภทการจดทะเบียน:
- ภ.ง.ด.90: สำหรับผู้ที่จดทะเบียนพาณิชย์ (รายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท)
- ภ.ง.ด.91: สำหรับผู้ที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท หรือจดทะเบียน VAT
- กำหนดยื่น: ภายในวันที่ 31 มีนาคม ของปีถัดไป
⚠️ โทษกรณีไม่ยื่นแบบหรือยื่นล่าช้า
- ค่าปรับ 200% ของจำนวนภาษีที่ต้องเสีย
- เบี้ยปรับ 1.5% ต่อเดือน
- อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
กฎหมายร้านขายของชำ
นอกจากเรื่องภาษีแล้ว ผู้ที่ต้องการเปิดร้านขายของยังต้องทำความเข้าใจกับ กฎหมายร้านขายของชำ และกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจค้าปลีก เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างถูกต้องและไม่มีปัญหาทางกฎหมาย
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับร้านขายของ
1. พระราชบัญญัติการขายตรง และตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545
- ควบคุมการขายสินค้าโดยตรงแก่ผู้บริโภค
- กำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้ขายและผู้ซื้อ
- ระบุเงื่อนไขการคืนสินค้าและการรับประกัน
2. พระราชบัญญัติคุมครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
- คุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค
- กำหนดมาตรฐานสินค้าและบริการ
- ควบคุมการโฆษณาที่อาจทำให้เข้าใจผิด

ใบอนุญาตที่อาจต้องขอ
ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าที่จำหน่าย ร้านขายของอาจต้องขอใบอนุญาตเพิ่มเติม:
- ใบอนุญาตขายยา: สำหรับร้านที่ขายยาสามัญประจำบ้าน
- ใบอนุญาตขายอาหาร: สำหรับร้านที่ขายอาหารสด หรืออาหารแปรรูป
- ใบอนุญาตขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: สำหรับร้านที่ขายเบียร์ เหล้า
- ใบอนุญาตขายบุหรี่: สำหรับร้านที่ขายยาสูบ
ข้อกำหนดด้านสุขอนามัย
มาตรฐานความสะอาด
- จัดเก็บสินค้าให้เป็นหมวดหมู่
- รักษาความสะอาดของร้านและบริเวณโดยรอบ
- ควบคุมอุณหภูมิสำหรับสินค้าที่ต้องแช่เย็น
- ตรวจสอบวันหมดอายุของสินค้าอย่างสม่ำเสมอ
⚠️ ข้อควรระวัง
การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดต่างๆ อาจมีผลให้ถูกปิดร้าน ปรับเงิน หรือดำเนินคดีตามกฎหมาย
โทษและค่าปรับ
การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายด้านภาษีและการบัญชีมีโทษและค่าปรับที่รุนแรง ผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
โทษด้านภาษีเงินได้
การไม่ยื่นแบบแสดงรายการ
- ค่าปรับ: 200% ของจำนวนภาษีที่ต้องเสีย
- เบี้ยปรับ: 1.5% ต่อเดือนของจำนวนภาษี
- ค่าปรับขั้นต่ำ: 1,000 บาท
- โทษจำคุก: ไม่เกิน 5 ปี (กรณีหลบหนีภาษี)
การทำบัญชีไม่ถูกต้อง
- ค่าปรับ: 2,000 - 20,000 บาท
- การไม่เก็บเอกสาร: ปรับ 200 - 2,000 บาท
- การปลอมแปลงบัญชี: จำคุกไม่เกิน 3 ปี

โทษด้านภาษีมูลค่าเพิ่ม
การไม่จดทะเบียน VAT ตามกำหนด
- ค่าปรับ: 10% ของยอดขาย หรือไม่น้อยกว่า 10,000 บาท
- การยื่นแบบล่าช้า: 100 บาทต่อวัน
- การไม่ออกใบกำกับภาษี: 400 บาทต่อฉบับ
วิธีหลีกเลี่ยงปัญหา
- ศึกษากฎหมาย: ทำความเข้าใจข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
- ใช้บริการผู้เชี่ยวชาญ: จ้างนักบัญชีหรือบริษัทรับทำบัญชี
- ติดตามการเปลี่ยนแปลง: กฎหมายภาษีอาจมีการแก้ไข
- ยื่นแบบให้ตรงเวลา: ไม่ให้เกินกำหนด
- เก็บเอกสารให้ครบถ้วน: พร้อมสำหรับการตรวจสอบ
ประโยชน์ของการทำบัญชีที่ถูกต้อง
แม้ว่าการทำบัญชีและเสียภาษีอาจดูเป็นภาระ แต่การดำเนินการที่ถูกต้องจะนำมาซึ่งประโยชน์มากมายที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและมั่นคงในระยะยาว
ประโยชน์ด้านการเงิน
การจัดการเงินที่ดีขึ้น
- รู้กำไรขาดทุนจริง: สามารถวางแผนการลงทุนได้ถูกต้อง
- ควบคุมกระแสเงินสด: ป้องกันปัญหาขาดสภาพคล่อง
- วิเคราะห์ต้นทุน: หาวิธีลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เปรียบเทียบผลการดำเนินงาน: ติดตามความก้าวหน้าของธุรกิจ
ประโยชน์ด้านการขอสินเชื่อ
ธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ ต้องการเห็นบัญชีที่มีความน่าเชื่อถือก่อนอนุมัติสินเชื่อ:
- สร้างความเชื่อมั่น: แสดงให้เห็นความมั่นคงทางการเงิน
- ประวัติการชำระเงิน: พิสูจน์ความสามารถในการชำระหนี้
- วงเงินสินเชื่อสูงขึ้น: อาจได้รับอนุมัติวงเงินที่มากกว่า
- อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า: ความเสี่ยงต่ำทำให้ได้อัตราดีกว่า

ประโยชน์ด้านกฎหมาย
ความปลอดภัยทางกฎหมาย
- หลีกเลี่ยงการถูกปรับ: ปฏิบัติตามกฎหมายครบถ้วน
- พร้อมรับการตรวจสอบ: มีเอกสารหลักฐานครบถ้วน
- สิทธิทางภาษี: ใช้สิทธิลดหย่อนได้อย่างถูกต้อง
- ความน่าเชื่อถือ: สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ
ประโยชน์ด้านการขยายธุรกิจ
- วางแผนการลงทุน: มีข้อมูลเพื่อตัดสินใจที่ถูกต้อง
- หาแหล่งเงินทุน: นักลงทุนมั่นใจในธุรกิจที่มีบัญชีชัดเจน
- เข้าร่วมโครงการรัฐ: สิทธิในการขอรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ
- ขายธุรกิจ: มีมูลค่าธุรกิจที่ชัดเจนเมื่อต้องการขาย
💡 เคล็ดลับความสำเร็จ
การทำบัญชีที่ถูกต้องไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ต้องเสียภาษี หากมีรายได้สุทธิเกิน 150,000 บาทต่อปี ไม่ว่าจะเป็นร้านเล็กหรือใหญ่ ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้และเสียภาษีตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
ร้านขายของชำต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และหากรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% ด้วย นอกจากนี้ยังต้องทำบัญชีและเก็บเอกสารหลักฐานครบถ้วน
ต้องทำบัญชี แม้จะเป็นร้านเล็กๆ ก็ตาม อย่างน้อยต้องมีบัญชีรายรับรายจ่าย และเก็บเอกสารหลักฐานไว้ 5 ปี เพื่อเป็นหลักฐานในการคำนวณภาษีและรองรับการตรวจสอบ
ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค การขายตรงและตลาดแบบตรง รวมถึงกฎหมายสุขอนามัย หากขายสินค้าพิเศษ เช่น ยา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจต้องขอใบอนุญาตเพิ่มเติม
นอกจากภาษีเงินได้แล้ว อาจต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% หากรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท ภาษีป้าย และค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าใบอนุญาต ค่าจดทะเบียนธุรกิจ
อาจต้องเสียค่าปรับสูงสุด 200% ของจำนวนภาษีที่ต้องเสีย บวกเบี้ยปรับ 1.5% ต่อเดือน และในกรณีร้ายแรงอาจถูกดำเนินคดีจำคุกได้
แนะนำให้ใช้บริการ เพราะช่วยลดความผิดพลาด ประหยัดเวลา และมั่นใจได้ว่าปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะหากไม่มีความรู้ด้านบัญชีและภาษี
สามารถหักภาษีซื้อได้ ทำให้ต้นทุนสินค้าลดลง เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ และสะดวกในการทำธุรกิจกับผู้ประกอบการรายอื่น
พร้อมเริ่มต้นธุรกิจร้านขายของที่ถูกต้องแล้วหรือยัง?
MoAccount พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ด้านบัญชีและภาษี ช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างมั่นคงและปลอดภัยทางกฎหมาย